ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ร่างกายมีกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย และต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายเองภูมิคุ้มกันมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากภูมิคุ้มกันต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้ง่าย ในกรณีที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อแอนติเจนที่ไม่เป็นอันตราย ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะผิดปกติ ดังกรณีภูมิแพ้ (allergy) หรือโรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง เช่น โรคเอส-แอลอี(systemic lupus erythematosus) เป็นต้น
ภาวะภูมิแพ้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนบางอย่าง เช่น มีปฏิกิริยาต่อสารเคมี ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ สารจากสัตว์ทะเล เป็นต้น อาการแพ้อาจไม่รุนแรงมาก แต่จะมีอาการต่อเนื่อง ภูมิแพ้สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น เมื่อแพ้แอนติเจนที่พบในอาหารบางชนิด ก็ไม่ควรรับประทานอาหารชนิดนั้น หรือหากแพ้ฝุ่นก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น เป็นต้น มีรายงานทางการแพทย์ว่าภาวะภูมิแพ้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมด้วย
โรคที่มีผลทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างรุนแรง คือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ (AIDS) ย่อมาจาก acquired immunedeficiency syndromeเป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด HIV (human immunodeficiency virus) เมื่อผู้ป่วยได้รัเชื้อ HIV การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ HIV
ผลจากการเจาะเลือดทุกๆ 4 เดือน ของผู้ป่วยรายหนึ่งที่ได้รับเชื้อ HIV พบว่าในช่วงระยะเวลา 6 ปี จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวต่อเลือด 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 662, 743, 684, 798, 763, 528, 597, 442, 446, 360,287, 199, 260ล 225ล 197, 168, 155, 48 นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ
ผู้ป่วยเอดส์จะติดเชื้อชนิดอื่นได้ง่ายกว่าคนปกติ เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเริม โรคท้องเสียเรื้อรัง รวมทั้งมะเร็งซึ่งไม่ใช่โรคติดเชื้อด้วยผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นโรคเหล่านี้จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
HIV มีลักษณะพิเศษต่างจากไวรัสอื่นๆ คือไวรัสชนิดนี้ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวโดยตรง เมื่ออยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว HIV จะเพิ่มจำนวนโดยใช้กรดนิวคลีอิกและโปรตีนจากเซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นวัตถุดิบ แล้วกระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆต่อไป นอกจากนั้น HIV ยังมีโอกาสกลายพันธุ์ได้ง่าย ฉะนั้นแม้ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสนี้ขึ้นมาในช่วงแรกๆของการติดเชื้อ แต่เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ไปบางส่วน ภูมิต้านทานที่สร้างขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปร่างกายจึงกำจัด HIV ไห้หมดไปไม่ได้
HIV มีลักษณะพิเศษต่างจากไวรัสอื่นๆ คือไวรัสชนิดนี้ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวโดยตรง เมื่ออยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว HIV จะเพิ่มจำนวนโดยใช้กรดนิวคลีอิกและโปรตีนจากเซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นวัตถุดิบ แล้วกระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆต่อไป นอกจากนั้น HIV ยังมีโอกาสกลายพันธุ์ได้ง่าย ฉะนั้นแม้ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสนี้ขึ้นมาในช่วงแรกๆของการติดเชื้อ แต่เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ไปบางส่วน ภูมิต้านทานที่สร้างขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปร่างกายจึงกำจัด HIV ไห้หมดไปไม่ได้
ปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย
1. อายุ
ทารกในครรภ์ : อายุ 4 สัปดาห์จะมีการสร้างเม็ดเลือดขาว
- อายุเดือนที่ 5 จะมีการเจริญเติบโตของน้ำเหลือง มีการสร้างแอนติบอดี้เล็กน้อยแต่ต้องอาศัยแอนติบอดี้ที่มาจากรกแม่มากกว่า
- อายุ 9 เดือนทารกจะได้แอนติบอดี้จากน้ำนมแม่เรียกว่า 'น้ำนมเหลือง'
2. พันธุกรรม สามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันกันได้ เช่น ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น
3.โภชนาการ - การขาดวิตามินเอ และวิตามินซี จะลดประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาว
- การขาดธาตุเหล็ก สังกะสีและซีลีเนียมจะลดภูมิต้านทานและความสามารถในการกำจัดเชื้อโรค
- การขาดโปรตีน จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวในต่อมน้ำเหลืองและม้ามบางชนิดลดลง
4. ยาบางชนิด เช่น ยาจำพวกคอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroids) จะยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอย่างไม่เฉพาะเจาะจง
วิธีป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพ
1.) นอนหลับให้เพียงพอ
2.) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3.) พบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
4.) รับประทานอาหารครบ 5 หมู่และถูกสุขลักษณะ
5.) ทำจิตใจให้แจ่มใสและลดความเครียดต่างๆ
6.) ฉีควัคซีน
7.) ปฎิบัติตามหลักสุขบัญญัติ
6.) ฉีควัคซีน
7.) ปฎิบัติตามหลักสุขบัญญัติ