วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบภูมิคุ้มกัน ฉบับที่2 (ถ้าฉบับที่1ผิด)

ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน


          ร่างกายมีกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย และต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายเองภูมิคุ้มกันมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากภูมิคุ้มกันต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้ง่าย ในกรณีที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อแอนติเจนที่ไม่เป็นอันตราย ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะผิดปกติ ดังกรณีภูมิแพ้ (allergy) หรือโรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง เช่น โรคเอส-แอลอี(systemic  lupus erythematosus) เป็นต้น
              ภาวะภูมิแพ้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนบางอย่าง เช่น มีปฏิกิริยาต่อสารเคมี ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ สารจากสัตว์ทะเล เป็นต้น อาการแพ้อาจไม่รุนแรงมาก แต่จะมีอาการต่อเนื่อง ภูมิแพ้สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น เมื่อแพ้แอนติเจนที่พบในอาหารบางชนิด ก็ไม่ควรรับประทานอาหารชนิดนั้น หรือหากแพ้ฝุ่นก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น เป็นต้น มีรายงานทางการแพทย์ว่าภาวะภูมิแพ้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมด้วย
             โรคที่มีผลทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างรุนแรง คือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ (AIDS)  ย่อมาจาก acquired immunedeficiency syndromeเป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด HIV (human immunodeficiency virus) เมื่อผู้ป่วยได้รัเชื้อ HIV การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะเปลี่ยนแปลง         


การเปลี่ยนแปลงจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ HIV
              ผลจากการเจาะเลือดทุกๆ 4 เดือน ของผู้ป่วยรายหนึ่งที่ได้รับเชื้อ HIV พบว่าในช่วงระยะเวลา 6 ปี จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวต่อเลือด 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 662, 743, 684, 798, 763, 528, 597, 442, 446, 360,287, 199, 260225197, 168, 155, 48 นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ
 ผู้ป่วยเอดส์จะติดเชื้อชนิดอื่นได้ง่ายกว่าคนปกติ เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเริม โรคท้องเสียเรื้อรัง รวมทั้งมะเร็งซึ่งไม่ใช่โรคติดเชื้อด้วยผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นโรคเหล่านี้จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
          HIV มีลักษณะพิเศษต่างจากไวรัสอื่นๆ คือไวรัสชนิดนี้ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวโดยตรง เมื่ออยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว HIV จะเพิ่มจำนวนโดยใช้กรดนิวคลีอิกและโปรตีนจากเซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นวัตถุดิบ แล้วกระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆต่อไป นอกจากนั้น HIV ยังมีโอกาสกลายพันธุ์ได้ง่าย ฉะนั้นแม้ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสนี้ขึ้นมาในช่วงแรกๆของการติดเชื้อ แต่เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ไปบางส่วน ภูมิต้านทานที่สร้างขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปร่างกายจึงกำจัด HIV ไห้หมดไปไม่ได้
ปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

1. อายุ
        ทารกในครรภ์ : อายุ 4 สัปดาห์จะมีการสร้างเม็ดเลือดขาว
                         - อายุเดือนที่ 5 จะมีการเจริญเติบโตของน้ำเหลือง มีการสร้างแอนติบอดี้เล็กน้อยแต่ต้องอาศัยแอนติบอดี้ที่มาจากรกแม่มากกว่า
                         - อายุ 9 เดือนทารกจะได้แอนติบอดี้จากน้ำนมแม่เรียกว่า 'น้ำนมเหลือง'
        2. พันธุกรรม  สามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันกันได้ เช่น ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น
        3.โภชนาการ   - การขาดวิตามินเอ และวิตามินซี จะลดประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาว
   -  การขาดธาตุเหล็ก สังกะสีและซีลีเนียมจะลดภูมิต้านทานและความสามารถในการกำจัดเชื้อโรค
                     การขาดโปรตีน จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวในต่อมน้ำเหลืองและม้ามบางชนิดลดลง
        4. ยาบางชนิด เช่น ยาจำพวกคอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroids) จะยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอย่างไม่เฉพาะเจาะจง
 วิธีป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพ

1.) นอนหลับให้เพียงพอ
2.) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3.) พบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
4.) รับประทานอาหารครบ 5 หมู่และถูกสุขลักษณะ
5.) ทำจิตใจให้แจ่มใสและลดความเครียดต่างๆ
6.) ฉีควัคซีน
7.) ปฎิบัติตามหลักสุขบัญญัติ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบภูมิคุ้มกัน ฉบับที่ 1

ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นระบบของร่างกายระบบหนึ่งที่สำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์เนื่องจากจะช่วยป้องกันร่างกายจากโรคต่างๆและการติดเชื้อ มันคือการป้องกันธรรมชาติของร่างกายมนุษย์กับผู้รุกรานจากต่างประเทศและมีชีวิตติดเชื้อ
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงจึงทำให้มั่นใจได้สุขภาพที่ดีขึ้น มันเป็นของจริงประกอบด้วยบางส่วนของเซลล์พิเศษ, เนื้อเยื่ออวัยวะและโปรตีน แม้ว่าหน้าที่หลักของมันคือการปกป้องร่างกายมนุษย์จากเกือบทุกชนิดของการติดเชื้อในกรณีที่ได้รับผลกระทบแล้วมีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันโรคต่างๆที่อาจเกิดขึ้นและรำคาญคนพร้อมกัน
เท่าที่ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันมีความกังวลพวกเขาสามารถแบ่งในสี่กลุ่มที่แตกต่างกันซึ่งได้รับการอธิบายสั้น ๆ ดังนี้
  • โรคเอดส์อยู่ในประเภทแรกของความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันและพวกเขามักจะเกิดขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งของระบบนี้ใดไม่สามารถทำงานได้ ข้อบกพร่องเหล่านี้ระบบสามารถได้รับผ่านการติดเชื้อในบางส่วนหรืออาจจะผลิตเป็นผลมาจากยาบางชนิด พวกเขาจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม คนแรกที่รู้จักกันเป็นความผิดปกติของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิเครื่องดังกล่าวจะได้มาโดยการเกิดในขณะที่กลุ่มอื่น ๆ รวมถึงความผิดปกติที่สองที่มีการซื้อต่อไปในชีวิตเช่นเอชไอวี
  • ประเภทที่สองตามชนิดของความผิดปกติเหล่านี้รวมถึงความผิดปกติ autoimmune โจมตีเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดีหรืออวัยวะอย่างผิดพลาดแม้จะมีความจริงที่ว่าพวกเขามีพื้น invaders ต่างประเทศ บางตัวอย่างที่สามารถได้รับการพิจารณาภายใต้ประเภทนี้จะรวมถึง lupus, scleroderma และโรคไขข้ออักเสบ
  • ประเภทที่สามรวมถึงความผิดปกติของการแพ้ที่เกิดขึ้นกับระบบ แต่อย่างใดเกิดขึ้นเมื่อ overreacts เพื่อการสัมผัสกับแอนติเจนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ มีสารก่อภูมิแพ้หลายอย่างที่อาจจะสะกิดใด ๆ นั้นจะถูกโจมตี บางส่วนของความผิดปกติเหล่านี้รวมถึงโรคหอบหืดและโรคเรื้อนกวาง
  • ประเภทสุดท้ายเป็นที่รู้จักกันเป็นมะเร็งของระบบภูมิคุ้มกันที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์เริ่มเจริญเติบโตออกจากการควบคุม
ปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย
 คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า รอบๆตัวเรามีเชื้อโรคมากมายทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อโรคเล็กๆ มากมายที่ตาของเราไม่สามารถมองเห็น และในแต่ละวันเราสัมผัสกับเชื้อโรคอย่างนับไม่ถ้วน แต่ทำไมเราไม่เจ็บป่วยหรือหากจะเจ็บป่วยบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก ?

     
การที่เราไม่เจ็บป่วยง่ายๆ เพราะร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกัน (หรือภูมิต้านทาน) คอยปกป้อง อยู่ โดยระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการป้องกันตนเองอย่างหนึ่งของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งได้แก่จุลินทรีย์ต่างๆ รวมถึงสารเคมีต่างๆ ทั้งจากพืช จากอาหาร สารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น ตลอดจนฝุ่นละออง ขนสัตว์ ละอองเกสรดอกไม้ต่างๆ ฯลฯ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะออกมาต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ร่างกายจึงสามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข แต่หากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือประสบความล้มเหลว ร่างกายก็จะถูกคุกคามด้วยโรคภัยไข้เจ็บ โรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง และอื่นๆ

ความต้านทานโรคที่ต่างกันขึ้นกับ 2 ปัจจัย คือ

     1. กรรมพันธุ์ ปัจจัยนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละคนมีระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่ต่างกัน ฉะนั้นหากพ่อแม่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ลูกก็ย่อมจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย หากพ่อแม่มีภูมิคุ้มกันบางจุดบกพร่อง ลูกก็อาจได้รับการถ่ายทอดในจุดที่บกพร่องได้เช่นกัน

     2. สุขภาพร่างกาย เมื่อได้รับเชื้อโรค ร่างกายจะต้องสร้างสารภูมิคุ้มกันได้เร็วและมากพอจึงจะกำจัดเชื้อโรคได้ ถ้าร่างกายอ่อนแอก็ทำให้ระบบอ่อนแอไปด้วย การสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายก็ไม่ค่อยดี จึงเกิดการเจ็บป่วยขึ้น

วิธีกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย

1)   การออกกำลังกาย จะเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกหมุนเวียนไปยังเซลล์ทั่งร่างกาย และทำให้มีความสามารถในการเก็บกินสิ่งแปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้น
2)   นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-9 ชั่วโมง การนอนหลับทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความเครียด และความกังวลทำให้ร่างกายหลั่งสาร Adrenalin และขณะหลับร่างกายจะผลิตฮอร์โมนMelatonin ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
3)   รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และควรเป็นอาหารที่สดที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง เช่น ถั่ว ผัก และผลไม้ ซึ่งมีวิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ อยู่มากมาย เช่น วิตามินเอ บี ซี และสังกะสี ซีลีเนียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
4)   สูดอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเป็นอาหาร ถ้าเราขาดออกซิเจนเพียงไม่กี่นาทีเซลล์ก็จะตายได้
5)   ควรให้ร่างกายได้โดนแสงแดดยามเช้าทุกวัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ 06.30 — 09.00 น. ร่างกายต้องการรังสีจากแสงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกระบวนการทำงานของระบบสารเคมีสารเคมีในร่างกายที่จะส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และสร้างวิตามินดี - ที่ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ซึ่งจะทำให้ทำให้ร่างกายแข็งแรงโดยรวม ควรให้ร่างกายถูกแดดวันละ 30 นาทีในช่วงเวลาดังกล่าว
6)   ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6 — 8 แก้ว
7)   พยายามทำให้อารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียด อารมณ์และจิตใจส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าเครียดก็จะทำให้ระบบทำงานได้น้อยลงกว่าปกติ

วิธีการป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพ
1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2.
การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3.
ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4.
วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือ หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5.
การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6.
แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7.
ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ

8.
แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9.
การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10.
การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12.
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น


13. ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14.
การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15.
เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16.
การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17.
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19.
รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20.
หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น อย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21.
สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22.
การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมส์ที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23.
การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24.
ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25.
ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้